top of page
Search
  • Writer's pictureTheexplorer

JAPAN แดนปลาดิบ กิน-เที่ยวพร้อมชมซากุระบาน

Updated: Feb 19, 2020




หากลองพิมพ์คำว่า “Japan” ลงไปใน google แล้วกดค้นหา คุณคิดว่าภาพที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าจะเป็นภาพอะไร ผมได้ลองแล้ว และพบว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผมนั้น ได้สรรหาภาพภูเขาไฟฟูจิที่ตั้งตระหง่านทัดทานกับท้องฟ้า บางภาพถูกแซมด้วยกิ่งก้านของดอกซากุระ และบางภาพมีเจดีย์แดงตั้งตระหง่านเป็นฉากหน้า แต่ในทุก ๆ ภาพนั้น อย่างไรต้องมีภูเขาไฟฟูจิเป็นองค์ประกอบ


จองตั๋วอย่างไรให้ได้ทั้งราคาดี และสะดวก

อยากไปชมภูเขาไฟฟูจิช่วงซากุระบาน คงไม่แคล้วต้องเจอการแย่งชิงตั๋วกันในช่วงไฮซีซั่น ตามพยากรณ์ของทางประเทศญี่ปุ่น ต้นซากุระส่วนใหญ่มักจะชอบผลิบานกันในช่วงเมษายน ซึ่งตรงกับวันหยุดยาวของคนไทยในช่วงสงกรานต์พอดิบพอดี บางปีราคาตั๋วเครื่องบินในช่วงไฮซีซั่นแบบนี้ ก็ทำให้เรายอมยกเลิกแพลนเที่ยวไปเลยเสียง่ายๆ แต่วันนี้เราอยากจะมาแนะนำฟีเจอร์ดี ๆ ของ Traveloka ที่ทำให้เราสามารถติดตามราคาขึ้น-ลงได้อย่างทันท่วงที แถมตอนนี้มีฟีเจอร์เพิ่มเติมที่สามารถเชคอินออนไลน์ผ่านแอพลิเคชั่นได้อีกด้วย


แผนการเดินทางครั้งนี้เราเริ่มกันตั้งแต่ตั้งงบประมาณล่วงหน้า พร้อมกับการติดตามราคาในทุก ๆ สัปดาห์ที่มีการเคลื่อนไหว เมื่อ price alert จาก แอพลิเคชั่น Traveloka แจ้งราคาที่ตรงกับงบเราปุ๊บ เราก็ไม่ลังเลที่จะกดจองในทันที ทริปนี้เราเลือกเดินทางกับ Thai Lion Air ไปยังประเทศโตเกียว ซึ่งเป็นสายการบินที่สามารถเช็คอินออนไลน์กับ Traveloka ผ่านแอพลิเคชั่น ทั้งจองสะดวก ราคาดี และจบในแอพลิเคชั่นเดียว




Click เลยที่ https://www.traveloka.com/th-th/

Online Check-in เปิดให้บริการแล้ว

เช็คอินออนไลน์กับเราก่อนเดินทาง มีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่อง


แผนการเดินทาง

วันที่ 0-1 : ออกเดินทางโดยสายการบิน Thai Lion Air / เดิน-กิน-เที่ยวกันในย่าน Sensoji

วันที่ 2 : ไปชิมขนมมันกันที่คาวาโกเอะ / เดินชมเมืองเอโดะจิ๋วใจกลางโตเกียว

วันที่ 3 : ออกเดินทางสู่เมืองคาวากุจิโกะ / ชมฟูจิซัง / เก็บภาพซากุระให้เหมือนกับใน google

วันที 4 : เที่ยวเมืองมรดกโลก Nikko โซนธรรมชาติ

วันที่ 5 : เดินทางกลับด้วยสายการบิน Thai Lion Air


วันที่ 0 : หลับไปในอากาศ


เนื่องจากไฟลท์ราคาดี ๆ ที่เราจองได้มานั้นเป็นไฟลท์ดึก เราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะมาถึง

ใคร ๆ ก็รู้ว่าสภาพรถติดในช่วงเย็นวันศุกร์มันแออัดแค่ไหน ครั้นเราเดินทางมาถึงสนามบินก็ดันเป็นช่วงเวลาที่พีคที่สุดของวัน นักท่องเที่ยวที่มากับทัวร์ค่อย ๆ ทยอยเข็นกระเป๋ากันเข้ามาต่อคิวในแถวกันอย่างยาวเหยียด แต่ด้วยแอพลิเคชั่น Traveloka และข้อมูลที่เราได้ทำการจองเอาไว้ ทำให้เราสามารถทำ Online Check-in ได้ทันที



จากแถวอันยาวเหยียดตรงหน้า เราก็เดินผ่านไป เพื่อเข้าสู่เลนของผู้โดยสารที่ทำ Online Check-in ไปได้เลย ทั้งสะดวก และทำให้มีเวลาเหลือเฟือไปนั่งกินข้าวก่อนขึ้นเครื่องได้อีกด้วย


เมื่อกินข้าวอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน ถึงเวลาขึ้นเครื่องปุ๊บ เราก็หลับไปในอากาศอย่างฉับพลัน ถึงเวลาเก็บแรงเอาไว้ เพื่อพรุ่งนี้เช้าเราจะตื่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและพบกับการเดินทางอันแสนน่าจดจำ


ทำ Online Check-in ผ่าน แอพลิเคชั่น Traveloka สะดวกและประหยัดเวลาได้มากเลยทีเดียว


เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน พอได้ขึ้นเครื่อง หัวถึงพนักพิง ก็ถึงเวลาเข้านอนทันที



วันที่ 1 : เดิน-กิน-เที่ยวกันในย่าน Sensoji


เช้าวันนี้อากาศเย็นสบาย เราต่อรถไฟจากสนามบินมายังย่านอาซากุซะ ฝากกระเป๋าที่โรงแรมกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาเดินชม-ชิม อาหารเด็ดๆ จากที่นี่กัน เราเดินผ่าน “คามินาริมง” เป็นโคมสีแดงเด่นสะดุดตาที่หนักถึง 700 กิโลกรัม โคมแดงนี้เป็นสัญลักษณ์ประจำของที่นี่ ถ้าเห็นแล้วก็ต้องนึกถึงอาซากุซะในทันที และยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะมากที่สุดอีกด้วย


เราเดินกันเข้าไปใน “นากะมิเสะโดริ” ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านรวง และขนมที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือซาลาเปาทอด หลังจากนั้นเราก็เดินเข้าไปสักการะวัดเซนโซจิ อธิษฐานขอพร ก่อนที่จะไปต่อกันที่ร้านไอศกรีมชาเขียวที่มีระดับความเข้มขอชาเขียวให้ได้เลือกลิ้มลองกันอีกด้วย


เดิมชมย่านอาซากุซะกันพอหอมปากหมอคอ เราก็มานั่งทอดสายตามองวิวในย่านสวนสุมิดะกันต่อ ซากุระที่นี่ค่อนข้างจะเริ่มร่วงโรยไปมากแล้ว แต่ก็ยังพอมองเห็นบางต้นที่ยังตูม ๆ อยู่ เรานั่งเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำ ความเย็นสบายและวิวทิวทัศน์ของที่นี่ช่างทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจจริง ๆ


คามินาริมง โคมสีแดงเด่นสะดุดตาที่หนักถึง 700 กิโลกรัม

ซาลาเปาทอดไส้ชาเขียวจากร้านในนากะมิเสะโดริ

สักการะ อธิษฐาน ขอพร ขอโชค ณ วันเซนโซจิ

ไอศครีมชาเขียวร้านซูซูกิเอ็น อาซากุสะ ชเขียวเข้มข้นมาก

ชมต้นซากุระในสวนสุมิดะ

อาซาฮีเบียร์ฮอลล์ตั้งเด่นเป็นเอกลักษณ์ขนาบข้างแม่น้ำสุมิดะ


วันที่ 2 : ไปชิมขนมมันกันที่คาวาโกเอะ / เดินชมเมืองเอโดะจิ๋วใจกลางโตเกียว

เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อไปเมืองคาวาโกเอะในจังหวัดไซตามะ เมืองนี้ถูกเรียกว่า "เอโดะจิ๋ว" เด้วยบ้านเมืองเก่าๆในแถบนี้ยังคงถูกอนุรักษ์เอาไว้อย่างดี เป็นสถาปัตยกรรมเก่าสมัยยุคเอโดะที่น่ามาเยี่ยมชมดูสักครั้ง


มาถึงคาวาโกเอะทั้งที ของเด่นของดังของที่นี่คงหนีไม่พ้นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมันในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น ไอศครีมมันบทเป็นเส้นๆ ขนมสอดไส้มันแบบห่อสวยๆ แต่ที่จะพลาดไปไม่ได้นั้น ก็เห็นจะเป็นเจ้ามันแผ่นบางๆ ที่เราสังเกตเห็นวัยรุ่นเกือบทุกคน หยิบมันออกมาจากถุง เพื่อกัดกินมันอย่างเอร็ดอร่อย


เราเดินในย่านนี้ได้เป็นชั่วโมงแบบไม่มีเบื่อ อันเนื่องมาจากอาหารที่ดูแปลกตาและน่าลิ้มลองไปหมด ถนนหนทางที่นี่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เราเดินมาจนพบร้านสตาร์บัคส์ สาขาคาวาโกเอะ ที่ถูกตกแต่งให้มีเสน่ห์แบบเอโดะดั้งเดิมอีกด้วย


ใครอยากนั่งรถลากให้ฟินกับเมืองเอโดะก็ไปลองกันได้

ร้านอาหารหน้าตาแปลกๆชวนให้เราอยากรู้อยากลอง

ข้าวปั้นย่างบนเตาถ่านหอมหวนจนชวนให้อยากลอง

ไอศครีมมันโรยหน้าด้วยมันบดอันนี้ห้ามพลาด

ไก่ย่างกับต้นหอมยักษ์อร่อยฟิน

ดังโงะรสชาติโดดมาก ใครไม่ชอบปัดตกไปเลยนะครับเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

ร้านสตาร์บัคส์ สาขาคาวาโกเอะ ที่ถูกตกแต่งให้มีเสน่ห์แบบเอโดะดั้งเดิม


วันที่ 3 : ออกเดินทางสู่เมืองคาวากุจิโกะ / ชมฟูจิซัง / เก็บภาพซากุระให้เหมือนกับใน google


เราเริ่มต้นเช้าวันนี้ที่ Shinjuku Bus terminal เพื่อไปชมวิวฟูจิซังที่เมืองคาวากุจิโกะ ด้วยแพลนอันแน่นเอียด เวลาจึงต้องถูกบีบและต้องใช้ให้คุ้มค่า การเดินทางวันนี้เรามีเป้าหมายสำคัญคือการเก็บภาพที่เหมือนกับ "ภาพจำ" ครั้งแรก ที่เราพิมพ์คำว่า JAPAN ลงไปใน google ให้ได้


เมื่อถึงยังสถานีคาวากุจิโกะ เราถึงกลับยืนอึ้งกับความงามของภูเขาไฟฟูจิ ฟูจิซังกว้างใหญ่และดูมีความสง่างามมากกว่าที่เคยเห็นในรูปมากๆ และโชคดีมากๆที่วันนี้ ฟูจิซังเผยตัวออกมาโดยไม่มีเมฆก้อนไหนกล้าเข้ามาบดบัง


เรารีบรุดหน้าไปยังเจดีย์แดงเพื่อเก็บภาพให้ทันก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน หากวางแผนจะมาประเทศญี่ปุ่นทั้งที สามสิ่งที่ไม่ควรพลาดคือ "ภูเขาไฟฟูจิ" "เจดีย์แดง" และ "ดอกซากุระ" ที่สามารถหาชมได้ที่จุดชมวิวเจดีย์แดงชูเรโตะเท่านั้น และนี่ยังเป็นภาพความทรงจำของญี่ปุ่นที่จะถูกจดจำไปอีกนาน


สถานีคาวากุจิโกะเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ

วิวฟูจิซังหน้าสถานีคาวากุจิโกะ

ฟูจิซังใหญ่โตมโหฬาร สวยแค่ไหนต้องไปพิสูจน์ด้วยตาของตัวเอง

วิวนี้นี่เองที่ลงใน google เรามาถึงแล้ว

สามสิ่งที่ไม่ควรพลาดคือ "ภูเขาไฟฟูจิ" "เจดีย์แดง" และ "ดอกซากุระ" ที่สามารถหาชมได้ที่จุดชมวิวเจดีย์แดงชูเรโตะเท่านั้น


วันที 4 : เที่ยวเมืองมรดกโลก Nikko โซนธรรมชาติ


"นิกโก้ (Nikko)" เป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังในจังหวัดโทจิกิ ที่สามารถเดินทางไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับได้จากโตเกียว และยังมีชื่อเสียงอันโด่งดังในด้านความสวยงามของวัดและศาลเจ้าต่างๆ จนในปี ค.ศ. 1999 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นเขตมรดกโลกอีกด้วย


ใช้เวลาในการเดินทาง 2 ชั่วโมง หลับๆตื่นๆไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมาย เรารีบย่ำเท้าเดินไปยังรถบัส ที่จะพาเราขึ้นไปยังสถานีกระเช้าลอยฟ้าอะเคจิไดระ เราต่อรถบัสไปยังป้ายน้ำตก แล้วเดินต่อไปตามป้ายบอกทาง เสียงน้ำตกดังซู่ซ่าชวนให้เราเดินตามเสียงนั้นไปอย่างใจจดใจจ่อ ลงลิฟท์ต่อไปอีกหน่อย เพื่อไปสัมผัสกับน้ำตกเคกอนแบบประจันหน้า เดินออกจากอุโมงค์ชั้นล่างอันเย็นยะเยือกได้ไม่นาน เราก็จะพบกับความเขียวขจีที่แอบซ่อนอยู่ ธรรมชาติอันสวยงามก็เผยตัวตนออกมาให้เราเห็นตรงหน้าจนได้ ดื่มด่ำกับธรรมชาติจากน้ำตกเคกอนกันแล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะลิ้มรสปลาอิวานะย่างเกลือกัน แน่นอนว่ารสชาติจะออกเค็มๆ แต่เนื้อปลาจะนุ่มๆ และมีรสชาติหวาน ที่สำคัญก้างปลานี่แทบจะหาไม่เจอเลย กินได้ทั้งตัวแบบไม่ต้องกลัวก้างจะติดคอ



หน้าสถานี Tobu Nikko ในเช้าวันที่ผู้คนไม่ค่อยหนาแน่นเท่าไร

สถานีกระเช้าลอยฟ้าอะเคจิไดระ

จุดชมวิวบนสถานีกระเช้าลอยฟ้าอะเคจิไดระ

ทะเลสาบจูเซ็นจิและน้ำตกเคกอนโนะทาคิระยะไกล ก่อนที่เราจะไปเผชิญหน้ากัน

ลงจากกระเช้า แวะซื้อของกิน แล้วก็ต้องโดยสารรถบัสกันไปกันต่อ ทางหลังจากนี้ช่างคดเคี้ยวซะเหลือเกิน

ถึงแล้วป้ายบอกทางไปน้ำตกเคกอนโนะทาคิ

เดินออกจากอุโมงค์ชั้นล่างอันเย็นยะเยือกได้ไม่นาน เราก็จะพบกับความเขียวขจีที่แอบซ่อนอยู่ ธรรมชาติอันสวยงามก็เผยตัวตนออกมาให้เราเห็นตรงหน้าจนได้


ดื่มด่ำกับธรรมชาติจากน้ำตกเคกอนกันแล้ว เราก็ไม่พลาดที่จะลิ้มรสปลาอิวานะย่างเกลือกัน


วันที่ 5 : เดินทางกลับด้วยสายการบิน Thai Lion Air


แปลกดีนะ !! เมื่อไรก็ตามที่เราหยุดโฟกัสกับสิ่งที่เคยทำเป็นประจำ สิ่งนั้นก็จะหายไป การเดินทางเหมือนเป็นการได้สะสางเรื่องราวต่างๆที่ไม่สลักสำคัญในชีวิตออกไปให้หมด เราลืมเรื่องเพื่อนร่วมงานที่เคยบาดหมาง ลืมความเครียดจากงานคั่งค้างที่ยังทำไม่เสร็จ ลืมความทุกข์ที่เคยเสพสม แล้วเปลี่ยนแปลงไปเป็นความน่าตื่นตาตืนใจที่ไม่คุ้นเคย


ความสุขของเราจริงๆนั้น อาจจะต้องการแค่ความเงียบ เพื่อสดับฟังเสียงน้ำไหลกระทบลงมาโขดหิน หรืออาจจะเป็นแค่เสียงนกร้องขับกล่อมในยามสายของวัน ความสุขของเราอาจหมายถึงการได้รับรู้-มุมมองอันแปลกใหม่ มากกว่าเมื่อวันก่อน การเดินทางทางในทริปนี้กำลังส่งมอบคำถามที่สำคัญที่สุดให้แก่ตัวเราว่าอะไรคือ "สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต"


เราลากกระเป๋าออกจากโรงแรมพร้อมครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา JAPAN แดนปลาดิบ มีทั้งที่กิน-ที่เที่ยว-พร้อมทั้งความงามของดอกซากุระ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หวนให้เราคิดถึง และจะจดจำประสบการณ์ดีๆจากที่แห่งนี้ไปอีกนาน


แม้จะออกมาช้าไปหน่อยจากกำหนดการณ์เดิม แต่เรามาถึงสนามบินตรงตามเวลา ถึงเวลากลับบ้านแล้วสินะ แต่ทำไมยังเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ


ผมเปิดกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมๆกับการเลื่อนดูภาพความทรงจำ


ภาพคู่รักยืนเซลฟี่ ภาพที่คุณลุงพยายามจัดตำแหน่งถ่ายภาพให้คุณป้า ภาพฝรั่งที่ยืนกอดคอกันอย่างไม่แคร์สายตาคนอื่น ภาพกลุ่มนักท่องเที่ยวที่พยายามเบียดเสียดเพื่อที่จะเก็บภาพให้ครบทุกคน ทุกส่วนล้วนเติมเต็มในความทรงจำ ทุกความว่างเปล่ากำลังถูกเติมเต็มด้วยส่วนที่ขาดหาย ไม่ใช่แค่เจดีย์แดง กับฟูจิซังหรอก ที่ทำให้ภาพเหล่านั้นน่าจดจำและงดงาม สิ่งที่ขาดไปเสียมิได้คือความผูกพันของเธอและฉันที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางร่วมกัน นี่อาจคืออีกหนึ่งเหตุผลที่เราทุกคนพยายามดั้นด้นออกไปพบกับโลกอันกว้างใหญ่ โลกที่ทำให้รู้ว่าตัวเรานั้นไม่ได้อยู่เดียวดาย นี่อาจจะเป็นบทสรุปของความหมายในภาพ เมื่อลองพิมพ์คำว่า “Japan” ลงไปใน google นั่นเอง




132 views0 comments
Post: Blog2_Post
bottom of page